บทที่ 27 สมรสพระราชทาน (๑)
หวังซานเย่กลับวังของตนด้วยหัวใจที่สุมไปด้วยไฟโทสะ หวังลู่วางแผนชิงตัวเกาอี้เหรินไปจากเขาเพื่อเพิ่มฐานอำนาจของตนเอง ในขณะที่เขาวางแผนทำลายสกุลเกามานับหลายปี! แต่วันนี้เจ้ากรมพระคลังกลับให้ความร่วมมือในแผนการของฮ่องเต้เพื่อทำลายแผนการทั้งหมดที่เขาวางเอาไว้เอา ถ้าเช่นนั้นแล้วการที่เขาตอบรับราชโองการอภิเษกสมรสกับเฉินหว่านอิ๋ง เขาจะทำให้นางต้องอยู่ในสถานะที่ต่ำที่สุดเอง!
“ฉู่หานจิ้ง!” หวังชินอ๋องกล่าวเรียกรองแม่ทัพคนสนิทของตนเอง ซึ่งกำลังยืนอารักขาอยู่หน้าห้องบรรทม
รองแม่ทัพฉู่เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว “ไปสืบมาว่าเฉินหว่านอิ๋งนางเป็นใคร”
“พะย่ะค่ะ” ฉู่หานจิ้งถอนหายใจเล็กน้อยแล้วเดินจากไป ดูท่าทางการแต่งงานครั้งนี้คงทำให้ท่านอ๋องทรงไม่พอพระทัยมากทีเดียว
เการั่วซีเดินมาหยุดหน้าตำหนักคุนหนิงของอู๋ฮองเฮา สายตาหวานกวาดมองไปทั่วบริเวณตำหนักที่ครั้งหนึ่งนางเคยเกือบเป็นผู้ครอบครอง ทว่าบัดนี้กลับตกอยู่ในมือของสตรีอื่นทำให้นางรู้สึกอิจฉาริษยา
ยิ่งนัก แม้ว่าตนเองจะมียศเป็นเพียงกุ้ยเฟย แต่สถานะก็เป็นรองแค่ฮองเฮาอยู่เพียงหนึ่งขั้น ประมุขแห่งราชสำนักฝ่ายในที่พระสวามีไม่โปรดปรานจะมีค่าเทียบเท่ากับกุ้ยเฟยอย่างนางได้เช่นใดกัน
เการั่วซีคิดอย่างย่ามใจ ฮองเฮาที่ถูกสวามีทอดทิ้งในคืนเข้าหอ วันนี้ตนจะมาทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าผู้ที่กล้าแย่งในสิ่งที่ตนหมายปองไปนั้นจะมีจุดจบเช่นใด
หลิงซีซึ่งยืนอยู่หน้าตำหนักฮองเฮา เมื่อเห็นการมาเยือนของเกากุ้ยเฟยจึงรีบเข้าไปรายงานผู้เป็นนาย
“ฮองเฮาเพคะ เกากุ้ยเฟยเสด็จมาเพคะ” หลิงซีรายงานอย่างตื่นเต้น การที่เกากุ้ยเฟยมาเยือนตำหนักคุนหนิงเช่นนี้คงมิใช่เรื่องดีต่อฮองเฮาเป็นแน่
อู๋ตายเหม่ยยิ้ม “ให้นางเข้ามาเถิด นางเป็นสนมของฝ่าบาท คงอยากมาเข้าเฝ้าเราตามธรรมเนียมน่ะ”
“เพคะ” จากนั้นหลิงซีจึงออกไปยืนหน้าตำหนัก รอการมาเยือนของเกากุ้ยเฟยด้วยสีหน้าที่ไม่ชอบใจนัก กุ้ยเฟยผู้นี้ถือตัวว่าเป็นสนมคนโปรดของฝ่าบาท เมื่อคราวก่อนในครั้งที่ยกน้ำชาต่อเบื้องพระพักตร์ไทเฮา นางไม่ยอมไว้พระพักตร์ฮองเฮาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งฝ่าบาทก็ยังปล่อยให้เการั่วซีทำสิ่งที่เหยียดหยามต่อฮองเฮา ทั้งยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้อู๋ฮองเฮามิได้ร่วมหอกับฝ่าบาทตามธรรมเนียม
ความริษยาของสตรีช่างมีพลังที่น่ากลัวยิ่งนัก
เการั่วซีเดินนวยนาดเข้ามาด้วยท่าทียโสโอหัง สนมเอกคนงามปราดหางตามองหลิงซีอย่างดูหมิ่นดูแคลนชาวแคว้นเหลียว เนื่องจากเป็นแคว้นที่
เล็กและขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ มาก ความเจริญรุ่งเรืองจึงค่อยๆ ก่อตัวจากการบริหารราชการของบรรดาโอรสในฮ่องเต้แคว้นเหลียว แม้จะค่อยๆ เติบโตแต่ว่าก็ไม่อาจเทียบเท่ากับแคว้นเยี่ยนที่รุ่งเรืองนี้ได้
เการั่วซียืนรอให้หลิงซีเปิดประตู ใบหน้างดงามเชิดขึ้นเล็กน้อย ท่าทีเช่นนี้ราวกับประกาศสงครามต่อฮองเฮาก็ไม่ปาน
“หม่อมฉันเการั่วซี ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” เการั่วซีแสร้งยอบกายทำความเคารพอย่างไม่จริงใจนัก กุ้ยเฟยผู้งดงามลอบพิศมองพระพักตร์ของอู๋ฮองเฮาอยู่หลายครา รูปโฉมรึ...ก็จัดว่าแค่พองดงามเท่านั้น เมื่อเทียบกับตนที่มีศักดิ์เป็นถึงคนโปรดของฮ่องเต้ ฮองเฮาผู้นี้เทียบตนไม่ได้เลยสักนิด แต่ถือสิทธิ์อันใดมาแย่งตำแหน่งที่ควรเป็นของตนไป
อู๋ฮองเฮารู้ดีว่าเการั่วซีไม่ได้มาหาตนด้วยเจตนาที่ดีนัก แต่ด้วยพระมารดาคอยอบรมสั่งสอนมาเสมอเรื่องการอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อให้นางจะเป็นประมุขสูงสุดแห่งราชสำนักฝ่ายใน ทว่าเการั่วซีก็มีอายุมากกว่านางถึงสองปี อู๋ตานเหม่ยจึงยิ้มทักทายส่งไมตรีตอบกลับไป
“เกากุ้ยเฟยมาหาข้าถึงที่นี่ นับว่าเป็นเกียรตินัก เชิญเจ้านั่งก่อนเถิด” อู๋ตานเหม่ยผายมือเชื้อเชิญอย่างใจดี นางสั่งให้หลิงซีจัดขนมหวานและน้ำชามาให้ตนเองและเการั่วซี ทว่าเการั่วซีกลับปฏิเสธ นางให้เหตุผลเพียงว่า
“หม่อมฉันต้องขอปฏิเสธเพคะ ที่มาที่นี่มิได้มาเสวยของหวานกับฮองเฮา แค่เพียงอยากมาพูดบางเรื่องในฐานะที่มีพระสวามีคนเดียวกันน่ะเพคะ”เการั่วซีมองอู๋ตานเหม่ยอย่างท้าทาย นางถือว่าตนเองมีหวังลู่คอยให้ท้ายจึงไม่เกรงกลัวแม้แต่อำนาจของฮองเฮา
อู๋ตานเหม่ยมองตอบอย่างไม่ยอมแพ้
“เรื่องอะไรหรือ ก็ในเมื่อพวกเรามีสามีคนเดียวกันอยู่แล้ว...”
คำพูดนั้นของอู๋ตานเหม่ยทำให้เการั่วซีรู้สึกไม่พอใจอยู่มาก “หม่อมฉันแค่อยากมาขออภัยต่อฮองเฮาน่ะเพคะ สำหรับเรื่องในคืนเข้าหอ วันนั้นหม่อมฉันทูลต่อฝ่าบาทแล้ว แต่พระองค์ก็เสด็จยืนกรานจะบรรทมที่ตำหนักของหม่อมฉันให้ได้ หม่อมฉันรู้สึกผิดมาหลายวันจึงอยากมากล่าวเรื่องนี้ ว่าหม่อมฉันมิได้มีเจตนาร้ายแต่ประการใด”
อู๋ตานเหม่ยแม้ภายนอกจะดูอ่อนแอ แต่มิใช่ไร้เดียงสารู้ไม่เท่าทันเล่ห์กลของเการั่วซี “บุตรสาวของเกาเจียฉี่ เสนาบดีผู้พิทักษ์ราชวงศ์มากล่าวต่อข้าเช่นนี้ ข้าใคร่รู้สึกละอายใจยิ่งนัก แต่ว่าข้าไม่ได้รู้สึกสนใจเรื่องนี้เพียงนิดเดียว”
เการั่วซีเก็บความกรุ่นโกรธเอาไว้ในใจ นางมาที่นี่เพื่อประกาศศักดาต่อฮองเฮาองค์ใหม่ แต่ว่ากลับถูกอีกฝ่ายตอบกลับให้เจ็บแสบนัก รอยยิ้มของอู๋ตานเหม่ยทำให้ตนรู้สึกกลัวจับใจ ก่อนจะได้รับฟังประโยคถัดไป
“เจ้าเป็นพระสนมเอกของฝ่าบาท หน้าที่ปรนนิบัติพระองค์ก็เป็นสิ่งที่สมควรทำอยู่แล้ว อีกอย่างหากทรงมีประสงค์ที่จะบรรทมตำหนักเจ้า ข้าก็ไม่มีสิทธิ์คัดค้านอะไรอยู่แล้ว จริงหรือไม่...” อู๋ตานเหม่ยยกยิ้มบางๆ อย่างเหนือกว่า นับตั้งแต่วันที่ยกน้ำชาเคารพไทเฮาแล้ว กุ้ยเฟยผู้นี้ไม่เคยให้เกียรติตนเลยสักนิด ถือว่าเป็นคนโปรดของหวังลู่ก็เลยคิดจะมาแสดงบารมีอวดข่มต่อนางสินะ
ต่อให้นางจะไม่ชอบตอบโต้ใคร แต่ก็ใช่ว่าใครจะมารังแกได้ง่ายๆ
